วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กิฟฟารีนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า



กิฟฟารีน มีสินค้ากว่า 2000 รายการให้เลือกสรรทั้ง ผลิตภัณฑ์ใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์ใช้ส่วนตัว ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอางค์ เครื่องดื่ม ชา กาแฟ ข้าวสาร ยางรถจักรยานยนต์ ผลิตภัณฑ์การเกษตร.....
113 สาขาทั่วประเทศ มีบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน
สมัครสมาชิกรับส่วนลดในการซื้อสินค้าทันที 25%
ซื้อสินค้าครบ 1,500 คะแนน มีสิทธิ์รับปันผล 10% และ ประกันชีวิต 120,000 บาท ในทุกๆเดือนถัดไปที่ซื้อสินค้าครบ 1,000 คะแนน....ตลอดชีพ
อยากได้ปันผลมากกว่านี้ อยากได้โบนัส อยากได้ประกันชีวิตมากกว่านี้ อยากเที่ยวต่างประเทศฟรี คลิ๊กลิงค์ลงทะเบียนมาครับ เรายินดีให้คำปรึกษา
http://anattara.com/?id=best

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กิฟฟารีน แกรนเดอร์ Grandeur Giffarine บำรุงความงามและสุขภาพทั่วเรือนร่าง


กิฟฟารีน แกรนเดอร์ Grandeur Giffarine
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนจากปลาทะเล ผสมสารสกัดจากชาเขียว, กรดอัลฟาไลโปอิก สารสกัดจากยีสต์, สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, สารสกัดจากบิลเบอรี่, ไลโคพีน โคเอนไซม์คิวเทน วิตามิน และแร่ธาตุ ชนิดแคปซูล ตรา กิฟฟารีน

ช่วยในเรื่อง 
-เพิ่มความนุ่มนวล ชุ่มชื่นและความยืดหยุ่นให้แก่ผิวพรรณ 
-ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์
-ฟื้นฟูสภาพผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด ช่วยป้องกันการทำลายผิวจากแสงยูวี และแสงแดดได้ 
-ช่วยในการไหลเวียนของโลหิตบริเวณผิวหนัง ช่วยทำให้เซลล์ผิวหนังกระชับ แข็งแรง ทำให้ผิวพรรณดูสดใส สวยงาม มีชีวิตชีวา ใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้น
-ช่วยลดความเสี่ยงของผิวต่อการเกิดมะเร็ง และลดความเสี่ยงของมะเร็งอีกหลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร 
นอกจากนี้ ยังช่วยเรื่องการหลุดร่วงของเส้นผมและบำรุงเล็บให้แข็งแรง ไม่หักง่าย

ส่วนประกอบที่สำคัญโดยประมาณใน 1 แคปซูล

โปรตีนคอลลาเจนจากปลาทะเล 200 มก. สังกะสี 7.5 มก. สารสกัดจากสนหางม้า 35 มก. วิตามินซี 30 มก. โพลีฟีนอล 17.5 มก. กรดอัลฟาไลโปอีค 25 มก. สารสกัดจากถั่วเหลือง 24.9 มก. เบต้ากลูแคน 6 มก. สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 10 มก, วิตามินอี 3.75 หน่วยสากล สารสกัดจากบิลเบอรี่ 5 มก. แอล- กลูตาไทโอน 5 มก. ไล โคพีน 0.5 มก. โคเอนไซม์คิวเทน 5 มก. ซิลิเนียม 35 มคก. วิตามินบี 2 0.85 มก. วิตามินบี 1 0.75 มก.


ราคากระปุกละ 1,050 บาท (60 แคปซูล)

มะรุม-ซี Marum-C

มะรุมเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นอาหารอยู่ในหลายประเทศ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lamk มะรุมมีชื่อเรียกต่างๆ คือ “Drum stick tree” “Horse radish tree” “Kelor tree” ส่วนต่างๆ ที่ใช้รับประทานคือ ใบ ผล ดอก และฝักอ่อน สำหรับในประเทศไทยนิยมใช้ฝักมะรุมปรุงอาหารในรูปของแกงส้ม แกงอ่อม 

การใช้ประโยชน์ทางยา พบว่า เกือบจะทุกๆ ส่วนของต้นมะรุมมีการนำไปใช้ทางยาในแถบเอเชียใต้ ส่วนที่ใช้คือ ราก เปลือกต้น กัม (Gum) ใบ ผล (ฝัก) ดอก เมล็ด และน้ำมันจากเมล็ด  ในตำรายาพื้นบ้านใช้ใบมะรุมพอกแผลช่วยห้ามเลือด ทำให้นอนหลับ เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ และช่วยแก้ไข้ ใช้ส่วนดอกและผลเป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ และแก้ไข้ ใช้ส่วนเมล็ดบดพอกแก้ปวดข้อตามข้อ และแก้ไข้  มีรายงานกล่าวถึงการนำพืชนี้มาใช้เป็นยาครอบจักรวาล (Panacea) 
ในภาพรวมของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในระดับเซลล์และสัตว์ทดลองพบว่า มะรุมมีฤทธิ์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ฤทธิ์ลดความดันโลหิต ต้านการเกิดเนื้องอก ต้านมะเร็ง ลดระดับโคเลสเตอรอล ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันตับอักเสบ ต้านออกซิเดชัน ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดระดับน้ำตาล และฤทธิ์ต้านการอักเสบ
สำหรับงานวิจัยที่น่าสนใจในสัตว์ทดลองมีโดยย่อดังนี้
  • ฤทธิ์ลดความดันโลหิต
สารสกัดน้ำและเอทานอลของใบมะรุม สารสกัดเอทานอลของผลและฝัก สารในกลุ่ม Glycosides ในสารสกัดเมทานอลของฝักแห้งและเมล็ด แสดงฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสุนัขและหนูแรท
  • ฤทธิ์ต้านการเกิดเนื้องอกและฤทธิ์ต้านมะเร็ง
สาระสำคัญในกลุ่ม Thiocarbamate จากใบ สารสกัดเอทานอลของเมล็ดแสดงฤทธิ์ทั้งยับยั้งการเจริญเติบโต และทำลายเซลล์มะเร็ง เมื่อป้อนสารสกัดของผลและฝักขนาด 5 มก./กก. น้ำหนักตัว มีผลลดจำนวนหนูเม้าส์ที่เป็นมะเร็งผิวหนังได้
  • ฤทธิ์ลดระดับโคเลสเตอรอล
สารสกัดน้ำของส่วนใบ มีผลลดระดับโคเลสเตอรอลและลดการเกิด Plaque ในหลอดเลือดของหนูแรทและกระต่ายซึ่งได้รับอาหารชนิดที่มีไขมันสูง การทดสอบโดยให้กระต่ายที่มีระดับโคเลสเตอรอลสูงและกระต่ายปกติ โดยให้กินผลมะรุมขนาด 200 มก./กก. น้ำหนักตัวต่อวัน นาน 120 วัน เปรียบเทียบกับยาลดไขมันโลวาสแตทิน 6 มก./กก. น้ำหนักตัวต่อวัน และให้อาหารไขมันมาก พบว่ามีผลลดระดับโคเลสเตอรอล, Phospholipids, Triglycerides, Low density lipoprotein (LDL), Very low density lipoprotein (VLDL), อัตราส่วนระหว่างโคเลสเตอรอลและ phospholipids และ atherogenic index ในกระต่ายกลุ่มแรกได้
  • ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
สารสกัดเมทานอลของใบ และสารสกัดเมทานอลจากส่วนดอก สามารถยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนุแรท ซึ่งถูกเหนี่ยวนำโดยแอสไพรินได้ ในขณะที่สารสกัดน้ำจากใบมีผลป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วย
  • ฤทธิ์ป้องกันตับอักเสบ
สารสกัด 80 % เอทานอลจากใบ สารสกัดน้ำและสารสกัดเอทานอลจากดอก มีฤทธิ์ป้องกันการทำลายเซลล์ตับหนูแรทที่ได้รับ Acetaminophen (ยาพาราเซตามอล) และสารสกัดน้ำจากส่วนราก แสดงฤทธิ์ป้องกันการทำลายเซลล์ตับหนูแรทจากการเหนี่ยวนำโดยยาไรแฟมพิซิน
  • ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน
สารสกัดน้ำ สารสกัด 80 % เมทานอล และสารสกัด 70 % เอทานอลจากส่วนใบผลแห้งบดหยาบและสารสกัดน้ำจากเมล็ด และสารในกลุ่ม Phenol จากส่วนรากสามารถต้านและกำจัดอนุมูลอิสระได้
  • ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
น้ำคั้นสดของใบ สารประกอบคล้าย Pterygospermin ของดอก สารสกัดอะซีโตนและสารสกัดเอทานอลจากเมล็ด สารสกัดน้ำจากเมล็ด น้ำคั้นจากเปลือกต้น สารสกัดเอทานอลของเปลือกราก และสาร athomin จากเปลือกราก มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด นอกจากนี้ยังมีการใช้สารสกัดน้ำมันจากเมล็ด ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้กับตา โดยพบว่าใช้ได้ดีกับ Pyodermia ในหนูเม้าส์ ที่มีสาเหตุมาจาก Staphylo – coccus aureus
  • ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาล
ผงใบแห้ง สารสกัด 95% เอทานอล และเถ้าจากเปลือกต้น มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูแรทปกติ และหูที่เป็นเบาหวาน ส่วนสารสกัดเมทานอลจากเปลือกรากแสดงฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในหนูเม้าส์
  • ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
ชาชงน้ำร้อน และสารสกัดเมทานอลจากราก มีฤทธิ์ยับยั้งอาการบวมที่อุ้งเท้าหลังของหนูแรทและหนูเม้าส์ ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน ในขณะที่เมล็ดแก่สีเขียว สารสกัดเอทานอลจากเมล็ดแห้ง และสารสกัดเอทานอลจากเมล็ดมีผลลดการอักเสบของทางเดินหายใจในหนูตะเภา ซึ่งยืนยันถึงการใช้มะรุมในทางพื้นบ้าน เพื่อบำบัดอาการผิดปกติจากภูมิแพ้ เช่น หอบหืด สารสกัดเอทานอลจากเมล็ด สามารถลดการบวมของอุ้งเท้าบริเวณข้อของหนูแรท และพบว่าสารสกัดมะรุมมีผลลด Oxidative Stress ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ต้านการอักเสบด้วย 
นอกจากฤทธิ์ดังกล่าวข้างต้น มีงานวิจัยจากต่างประเทศหลายงานวิจัยรองรับว่ามะรุมมีสารอาหารต่างๆ มากมาย เช่น เป็นแหล่งของโปรตีน มีวิตามิน เบต้าแคโรทีน กรดอะมิโน อีกทั้งยังเป็นแหล่ง ของแคลเซียม เหล็ก และสังกะสี  นอกจากนี้แล้ว ยังพบว่ามะรุมมีสาร Polyphenol ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระด้วย 
สำหรับความเป็นพิษของใบมะรุมนั้น มีการรายงานความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute Toxicity) ของมะรุมในระดับสัตว์ทดลองว่า ผงใบมะรุมขนาด 5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน  หรืออาจจะเปรียบเทียบได้ว่า น้ำหนักตัวที่ 50 กิโลกรัม การได้รับผงใบมะรุมขนาด 25 กรัม ไม่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน
  • ข้อแนะนำในการรับประทาน
แม้ว่าจะเป็นที่นิยมรับประทานกันมาเป็นเวลานาน หรือเป็นอาหารสุขภาพที่นิยมรับประทานกันในคนไทยมาร่วมปีแล้ว แต่เนื่องจากมะรุมยังไม่มีงานวิจัยความเป็นพิษระยะยาวในสัตว์ทดลอง คำแนะนำคือ ควรมีระยะเวลาพักในการรับประทานบ้าง คือ อาจจะไม่รับประทานต่อเนื่องทุกวัน ควรมีระยะพักต่อเดือนประมาณ 5-7 วัน
  • ข้อห้ามสำหรับผู้ที่จะรับประทานมะรุม
- เด็ก และสตรีมีครรภ์ เป็นข้อห้ามสำหรับสมุนไพรทุกชนิดอยู่แล้ว
- ผู้ป่วยโรคเลือด จีซิกพีดี (G6PD) (โรคเลือดอื่นๆ ไม่ได้ห้าม) โรคนี้จะห้ามรับประทานถั่วปากอ้า ซึ่งในมะรุมมีสารบางชนิดคล้ายในถั่วปากอ้าจึงควรห้ามรับประทานไปด้วย
- สตรีที่อาจจะตั้งครรภ์ หรือมีศักยภาพที่จะตั้งครรภ์ เช่น อยู่ในวัยและไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิด เป็นต้น เพราะมีงานวิจัยว่า ในปริมาณที่สูงทำให้เกิดการแท้งในหนูทดลองได้
- ผู้ป่วยโรค ตับ ตับอักเสบ หรือตับแข็ง เป็นข้อห้ามสำหรับสมุนไพรทุกชนิดอยู่แล้ว
- ผู้ที่รับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวี เพราะอาจจะมีผลรบกวนระดับยาได้
ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และเป็นแนวทางที่จะช่วยในการตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์มะรุมต่างๆ เพื่อดูแลสุขภาพ ป้องกันหรือรักษาโรค ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบพืชสด แห้ง เป็นแคปซูล หรือ เป็นสารสกัด
ราคากล่องละ 250 บาท (60 แคปซูล)

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Beta Plu-Kao พลูคาวสกัด ผสม เบต้า-กลูแคน

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับพลูคาวกับภูมิคุ้มกัน

ปกติแล้วรอบๆ ตัวเรามีเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมมากมายหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ หรือชนิดที่เกาะอยู่กับตัวมนุษย์ สัตว์และสิ่งของ หรืออยู่ในอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้จะจู่โจมร่างกายของพวกเราตลอดเวลา แต่เหตุที่เราไม่เจ็บป่วยก็เพราะร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงคอยช่วยต่อสู้ แต่ถ้าเมื่อใดที่ภูมิคุ้มกันภายในตัวเราอ่อนกำลังลงแล้ว เราก็จะแสดงอาการเจ็บป่วยทันทีดังนั้น

ผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันภายในบกพร่องมักจะป่วยด้วยโรคต่างๆ และอาจเสียชีวิตก่อนวันอันควร ขณะเดียวกันถ้าภูมิคุ้มกันไวเกิน ก็จะป่วยไปอีกแบบได้แก่ เป็นโรคภูมิแพ้ เช่น ลมพิษ หอบหืด จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล รวมถึงโรคที่ร้ายแรงมากขึ้นไปอีก เช่น โรค SLE (เอส แอล อี หรือโรคพุ่มพวง) และรูมาตอยด์ เป็นต้น
ร่างกายมนุษย์มีระบบการป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างการเบื้องต้น เช่น ผิวหนังทำหน้าที่ป้องกันการผ่านของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจากการสัมผัสขนจมูกและขนตาทำหน้าที่ดักจับสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ร่ายกาย แต่หากมีเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่สามารถผ่านเข้ามาในร่างกาย หรือที่เรียกว่า แอนติเจน (Antigen) ร่างกายจะมีระบบภูมิคุ้มกันทำงานร่วมกันหลายแบบโดยเซลล์ที่ทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างมาจากสเตมเซลล์ (Stem cells) ที่อยู่ในไขกระดูก เช่น
· เซลล์ที่ทำหน้าที่จับกินสิ่งแปลกปลอม เช่น Macrophage, Monocyte, Neutrophil
· เซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดเล็กที่เรียกว่า ลิมโฟไซท์ (Lymphocyte) แบ่งเป็น B-cells ทำหน้าที่ผลิตแอนติบอดี้ (Antibody)
· T-cells ทำหน้าที่ตอบสนองทางด้านเซลล์ เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค
· เซลล์ที่มี Granule จำนวนมากได้แก่ Eosinophil, Basophil (อ้างอิงที่ 1)
ผู้คนที่สนใจในเรื่องสุขภาพจึงมักจะสนใจดูแลภูมิคุ้มกันภายใน ด้วยการเอาใจใส่เรื่องโภชนาการ เลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ในที่นี้จึงขอแนะนำสารอาหารที่ช่วยในเรื่องการเสริมและปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งก็คือ พลูคาว นั่นเอง
พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb)
พลูคาวเป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย และประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ แระเทศอินเดีย จีน เกาหลี และญี่ปุ่น พลูคาวมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยภาคเหนือและอีสานใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือกินกับลาบ
  • การใช้ประโยชน์พื้นบ้านของพลูคาว 
ภูมิภาคอินโดจีน ใช้ทั้งต้น บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ขับปัสสาวะ แก้อาการอักเสบ แก้ลมพิษ ใบใช้แก้บิด
ประเทศจีน ใช้ใบหรือทั้งต้นขับปัสสาวะ รักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แก้อาการบวมน้ำ ฝีอักเสบ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ ไอ และบิด ต้านเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ
ประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย ใช้ทั้งต้นเป็นยาลดไข้ ขจัดสารพิษ รักษาแผลในกระเพาะ และอาการอักเสบ รวมทั้งรักพิษแมลงกัดต่อย
ประเทศเกาหลี ใช้พลูคาวรักษาโรคความดันโลหิตสูง อาการเส้นเลือดแข็งตัว และมะเร็ง
ประเทศเนปาล ใช้ลำต้นใต้ดิน ในตำรับยาที่เกี่ยวกับโรคของสตรี ใช้ทั้งต้นเป็นยาช่วยย่อย บรรเทาอาการอักเสบและขับระดู ใบใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง แก้บิด และริดสีดวงทวาร
ประเทศไทย ใช้ในยาแผนโบราณ และยาพื้นบ้าน ใช้เป็นยาแก้กามโรค ทำให้น้ำเหลืองแห้ง แก้โรคผิวหนัง แก้พิษฝี ต้นแก้ริดสีดวง ชาวเขาม้งใช้ผักคาวตองเป็นยารักษาโรคมาเลเรีย
พลูคาวยังมีในตำรับยาอีกหลายขนาน ผลการตรวจสอบทะเบียบตำรับยาแผนโบราณของไทย ในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา พบในสูตรตำรับยาแผนโบราณที่กระทรวงสาธารณสุขรับขึ้นทะเบียนจำนวน 19 ตำรับ
  • องค์ประกอบทางเคมีของพลูคาว
พลูคาวมีองค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญ 6 ประเภทคือ น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil), สารประเภทฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารประเภทอัลคาลอยด์ (Alkaloid), สารประเภทกรดไขมัน (Fatty acids), สารประเภทไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) และสารประกอบเคมีอื่นๆ ได้แก่ Polyphenolic acid กับแร่ธาตุ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate 
  • เภสัชวิทยาของพลูคาว 
พลูคาวกับภูมิคุ้มกัน
งานวิจัยของพลุคาวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะแนวโน้มพบว่า เสริมภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ขณะเดียวกันก็ลดถูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไว้เกิน
ในปี 2003 คณะวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการศึกษาฤทธิ์ของพลูคาวต่อเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของคนในหลอดทดลอง พบว่า สามารถกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ และได้ทำการศึกษาฤทธิ์ของพลูคาวแคปซูล และยาคำรับสมุนไพรงวงตาลแคปซูล ซึ่งมีพลูคาวเป็นองค์ประกอบ ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม พบว่า ช่วยเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวของคนปกติในหลอดทดลองได้ 
ในปี 2005 พบว่า สารสกัดจากพลูคาวสามารถลดการเกิดภูมิแพ้อย่างรุนแรงในเม็ดเลือดขาวมาสต์เซลล์ (Mast cell-mediated anaphylactic reactions) ซึ่งการวิจัยนี้บอกว่า อาจจะนำไปใช้พัฒนาเป็นยารักษาโรคหอบหืดและภูมิแพ้ในทางเดินหายใจได้  ในปี 2009 มีงานวิจัยว่าสาระสำคัญในพลูคาวมีผลลดการแพ้ โดยลดการหลั่ง lgE ในเม็ดเลือดขาวที่ทำให้เกิดการแพ้คือ เบโซฟิล (Basophil)  และมีการค้นพบเพิ่มเติมอีกว่า สาระสำคัญในพลูคาวมีผลลดการแพ้ภูมิแพ้ โดยการหลั่ง lgE ในเม็ดเลือดขาวที่ทำให้เกิดการแพ้ คือ มาสต์เซลล์ (Mast cells) 
จากข้อมูลของสถาบันวิจัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในปี 2548 ได้ระบุว่า ปัจจุบันมีการจดสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของพลุคาวไม่น้อยกว่า 17 ฉบับ สรุปประโยชน์ได้ 3 เรื่องใหญ่ๆ ดังนี้ 
1. รักษาภาวะภูมิแพ้ ภูมิไวเกิน เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ผิวหนังชนิด Atopic eczema และ Atopic dermatitis, เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ Allergic conjuncvtivitis, หวัดจากภูมิแพ้ (Allergicrhinitis) การแพ้อาหาร (Food allergy) กลุ่มอาหารที่มีสารภูมิแพ้ไอจีอีสูง (Hyper lgE syndrome) หรือ ภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง ได้แก่ โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
2. รักษาภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเป็นส่วนผสมหนึ่งในตัวยารักษาผู้ป่วยเอดส์และผู้ป่วยมะเร็ง หรือผู้ได้รับสารกดภูมิคุ้มกัน
3. เสริมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
  • พลูคาวกับฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็ง
มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่า สารสำคัญในพลูคาวมีฤทธิ์ที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งต่างๆ ได้ดังนี้
มะเร็งเมล็ดเลือดขาวของหนูชนิด L1210 (Mouse lymphocytic leukemia cell) 
มะเร็งต่อมเม็ดเลือดขาวของคน ชนิด K562 (Human immortalised myelogenous leukemia) 
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองของคน ชนิด Raji cell line (Brukitt’s lymphoma ; BL) 
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองของคน ชนิด P3HR cell line 
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองของคน ชนิด 937 (Histiocyticlymphoma) 
มะเร็งปอด (A-549 Adenocarcinomic human alveolar basalepithelial cells) (อ้างอิงที่ 6)
มะเร็งรังไข่ (OV-3 Human : Adenocarcinoma; ovary) 
มะเร็งผิวหนัง (SK-MEL-2 Human Skin Melanoma cell line) 
มะเร็งสมอง (XF-498 Gliodlastoma) 
มะเร็งลำไส้ (HCT-15 Human, Colon, Adenocarcinoma) 
- สามารถยับยั้งการแบ่งตัวและทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ (HT-29 Human Colon adenocarcinoma cells) ของคนด้วยกลไก Mitochondria dependent signaling pathway 
ในประเทศจีนมีการพลุคาวเป็นส่วนประกอบตำรับยาผงสำหรับรับประทานใช้ในการรักษามะเร็งหลอดอาหาร และมะเร้งทางเดินหายใจ รวมถึงเนื้องอกในรังไข่ มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม ยังใช้เป็นยาฉีดสำหรับมะเร็งกระเพาะอาหาร และเป็นตำรับยาน้ำรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร้งเต้านม นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยาสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย และรักษาอาการข้างเคียงที่เกิดจากใช้รังสีรักษา และเคมีบำบัด 
  • พลูคาวกับฤทธิ์ในการทำลายเชื่อไวรัส
มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่า สาระสำคัญในพลูคาวมีฤทธิ์ที่สามารถในการทำลาย และ/หรือยับยั้งเชื้อไวรัสได้หลายชนิดคือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอดส์ เริม และไวรัสที่ทำให้เป็นโรคมือเท้าปากเปื่อย ดังนี้
- ฤทธิ์ยับยั้งและทำลายไวรัสไข้หวัดใหญ่ Influenza virus 
- สาระสำคัญ Quercetin 3-rhamnoside (Q3R) จากพลูคาวมีประสิทธิภาพสูงในการทำลายไวรัสไข้หวัดใหญ่ Influenza A 
- ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 Influenza โดยทดลองในเชื้อที่ทำให้เกิดการติดเชื้อปอดอักเสบแก่หนุทดลอง 
- ฤทธิ์ยับยั้งและทำลายไวรัสเอดส์ Human immunodeficiency virus type 1 (HIV-1) ได้โดยตรง โดยไม่เป็นพิษต่อเซลล์ของร่างกาย 
- สาระสำคัญในที่สำคัญคือ Houttuynoside A (1) and Houttuynamide A2 และ Norcepharadiond B มีฤทธิ์ยับยั้งและทำลายไวรัสเริม Herpes simplex virus type 1 (HSV-1) 
- ฤทธิ์ต้านการเจริญของเชื้อเริม Anti-Herpes simplex virus activity ชนิด HSV-2 (อ้างอิงที่ 10)
- ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสเอนเตอโรไวรัส (Enterovirus 71) ซึ่งทำให้เกิดโรคมือเท้าปากเปื่อย (Hand Foot Mouth) ซึ่งมีการระบาดในหลายประเทศ และในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงสามารถทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจ สมอง และเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ 
ปัจจุบันนี้ในประเทศจีนมีการใช้พลูคาวเป็นส่วนผสมในตำรับยารักษาโรคที่เกิดจากไวรัสโดยมีการจดสิทธิบัตรไว้หลายรายการ เช่น ตำรับยารักษาการติดเชื้อจาก Cytomegalovirus ในคน เป็นส่วนผสมยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) เป็นส่วนผสมสำหรับยาน้ำ สำหรับลดไข้ รักษาหลอดลมอักเสบฉับพลันหรือเรื้อรัง เป็นส่วนประกอบในตำรับยารักษาโรคติดเชื้อฉับพลัน เช่น ไข้หวัดใหญ่ และการติดเชื้อทางเดินหายใจ 
  • พลูคาวกับการต้านอนุมูลอิสระ และการต้านการอักเสบ
พลูคาวมีสาระสำคัญที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด น่าจะเป็นด้วยกลไกของการต้านอนุมูลอิสระ ทำให้มีผลต่างๆ ตามมา ดังนี้
ในปี 2006 มีงานวิจัยว่า สารสกัดจากพลูคาวในรูปของการฉีดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ เป็นการวิจัยในหนูทดลอง ที่ทำให้เยื่อหุ้มปอดอักเสบ ด้วยการฉีดสารเคมีที่ระคายเคืองคือ คาราจีแนน (Carrageenan) เข้าไปทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อหุ้มปอด
ในปีเดียวกันมีงานวิจัยทำนองคล้ายกัน พบว่า ด้วยกลไกต้านอนุมูลอิสระ สารสกัดจากพลูคาวสามารถลดการเกิดเนื้อเยื่อพังผืดในปอดของหนูทดลอง (Pulmonary fibrosis) ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบโดยยาบลีโอมัยซินได้อีกเช่นกัน 
ในปี 2007 มีงานวิจัยว่า สารสกัดจากพลูคาวช่วยปกป้องไตเสื่อมในหนูทดลองที่เป็นเบาหวาน 
ในปี 2009 มีงานวิจัยว่า พลูคาวเป็นหนึ่งในสมุนไพรห้าชนิดที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด จากสมุนไพรไทย 30 ชนิด ที่มีใช้ในตำรับยารักษาโรคเบาหวาน 
  • พลุคาวกับการทดสอบความเป็นพิษ
พบว่าสาร decanoyl acetaldehyde ซึ่งแยกได้จากพลูคาวในขนาดประมาณ 1.6 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เป็นขนาดที่ทำให้หนูถีบจักรตายไปครึ่งหนึ่ง (LD 50) เมื่อฉีดเข้าหลอดเลือดดำสุนัข ในขนาด 38-47 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทำให้สุนัขตาย และเมื่อกรอกเข้ากระเพาะอาหารของสุนัขวันละ 80-160 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ติดต่อกัน 1 เดือน จะทำให้สุนัขมีน้ำลายออกมาก และระยะแรกมีอาการอาเจียน โดยที่ไม่พบความเป็นพิษอื่นอีก 
นอกจากนั้นพบว่า พลูคาวมีการกระตุ้นให้เกิดการแพ้แสง (Phyto toxic dermatitis) เป็นรายงานผู้ป่วยหญิงที่บริโภคพลูคาวในรูปแบบที่เป็นน้ำและผงแห้งติดต่อกัน 20 วัน เกิดรอยด่างสีม่วงแดงที่แก้มทั้งสองข้าง และผิวหนังร้อนแดงที่หน้าผาก ลำคอ คาง แขน และฝ่ามือ

ราคากล่องละ 900 บาท (30 แคปซูล)

EGCG Green Tea Extract Capsule สารสกัดจากชาเขียว ชนิดแคปซูล


EGCG นับได้ว่า เป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าการรับประทานแครอท บรอคเคอรี ผักโขม และสตรอเบอรรี่ ในขนาดที่รับประทาน ในแต่ละมื้อ  ซึ่งมีงานวิจัยรองรับมากมายถึงประโยชน์ของสาระสำคัญตัวนี้ อาทิเช่น
  • ช่วยลดความอ้วน
ด้วนกลไกของการกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิ-เดชันของไขมัน มีรายงานวิจัยที่มีข้อมูลสนับสนุนว่า EGCG ช่วยเพิ่ม กระบวนการการเผาพลาญพลังงานของเนื้อเยื่อไขมัน และมีรายงาน การทดลองในคนแล้ว ว่าช่วยลดความอ้วนได้  นอกจากนี้มีงานวิจัยที่ทำในคนไทย ผู้ที่น้ำหนักเกินเป็น2กลุ่มได้รับสารสกัดชาเขียวและยาปลอม กลุ่มได้รับชาเขียวมีน้ำหนักน้อยกว่า 2.7.5.1และ 3.3 ก.ก.ใบสัปดาห์ที่4.8และ 12ของการวิจัย 
  • ช่วยลดไขมันในเลือด
แม้จะลดไขมันในเลือดได้ไม่มากนัก แต่ก็มีงานวิจัยที่ดีรองรับสองงานวิจัย ในงานวิจัยแรกพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การดื่มชาในปริมาณปานกลางหรือปริมาณมากร่วมด้วย จะลดปริมาณไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอไรค์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ในช่วง 6ชั่วโมง หลังรับประทานอาหารและดื่มชา โดยลดการเพิ่มระดับ ของไขมันชนิดไตรกลีเซอรไรด์ ในเลือดได้ถึง 15.1-28.7%  อีกงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มชาประมาณสองถ้วยต่อวัน สามารถลดไขมันในเลือดชนิดโครเลสเตอรรอลลงได้ เล็กน้อย(119.9เป็น106.6 มก./ดล.) แต่ก็มีนัยสำคัญทางคลินิก 
  • ช่วยโรคเส้นเลือดอุดตัน
มีรายงานวิจัยว่า สาระสำคัญในชาเขียวสามารถการหดเกร็งของเส้นเลือดฝอยลดการเกิดตะกอน (Plaque) ในเส้นเลือดฝอย ทำให้ลดอุบัติการณ์ ของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด (Myocardial inflation) และอัมพฤกษ์ อัมพาต จาก เส้นเลือดตีบตัน  นอกจากนี้ EGCG ยังเป็นตัวยับยั้งการเกิดการ สันดาป Oxidation ของโคเลสเตอรรอล ทำให้ลดการเกิดการสะสมสร้างตะกอน ในเส้นเลือดจากโคเรสเตอรรอล ทำให้ลดการเกิดเส้นเลือดแข็งตัวตีบตัน และลดอุบัติการณ์ของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ(Coronary Athero sclerosis) ในงานวิจัยในสัตว์ทดลองยังลดการเกิดเส้นเลือดในปอดตีบตัน( pulmonary thrombosis) อีกด้วย  ส่งให้เป็นผลดีต่อสุขภาพของ หลอดเลือดหัวใจ ไม่นานนี้มีงานวิจัยทางระบาดวิทยาในคนญี่ปุ่น พบว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียว จะลดการเกิดโรคเส้นเลือดทางสมอง ทั้งโรคเส้นโลหิตในสมองแตก (Cerebral hemorrhahe) และเส้นเลือดสมองตีบ ได้จริง 
  • ต่อต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านมะเร็ง ( Antioxidant and anticancer)
ชาเขียวมีผลต่อการยับยั้งการเกิดมะเร็ง ได้หลายชนิดทั้งในคนและสัตว์ เพราะมี ฤทธิ์ทางด้านการต้านอนุมลอิสระอย่างมาก จากการวิเคราะห์ งานวิจัยที่เชื่อถือได้ของ Cochrane database ตีพิมพ์ล่าสุด จำนวน 51 งานวิจัยทั่วโลก แม้จะมีจำนวนงาน วิจัยที่จำกัด พบว่าการดื่มชาเขียวลดอุบัติการณ์เกิดมะเร็งหลายชนิด เช่นมะเร็งตับ มะเร๊งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็ง ลำไส้ และมะเร็งตับอ่อน 

ราคา EGCG 50 มก. กระปุกละ 400 บาท (30 แคปซูล)
ราคา EGCG MAXX 150 มก. กล่องละ 990 บาท (30 แคปซูล)

Ginkola จิงโกลา

แป๊ะก๊วย เป็นไม้ยืนต้น มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า จิงโก้ บิโลบา (Ginkgo biloba) สารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย เรียกว่า Extract Ginkgo biloba หรือ EGb ได้มีการทำวิจัยในคนมา 30 ปีแล้ว
  • สารออกฤทธิ์สำคัญใน EGb คือ
- ฟราโวนไกลโคไซด์ (Flavone Glycoside) มีประมาณ 24-26 %
- เทอร์ปีนแลคโตน (Terpene Lactones) มีประมาณ 5-7 %
- จิงโกไลด์ บี (Gingolide B) มีเล็กน้อย


  • ประโยชน์ของ EGb ที่มีการวิจัยในคน
1. ช่วยเพิ่มความทรงจำในผู้สูงอายุ ที่มีอาการความจำเสื่อม (Memory Impairment) จากสมองขาดเลือด (Cerebral Infarction)
2. ช่วยอาการเสียงในหู (Tinnitus) การทรงตัวไม่ดี จากความผิดปกติของการควบคุมในสมอง (Equilibrium Disorder)
3. ช่วยลดอาการขาดเลือดของเนื้อเยื่อ (Anti Ischemic Effect) ในผู้ป่วยสูงอายุทีมีปัญหาเส้นเลือดอุดตัน เช่น อาการปวดขาเป็นครั้งคราว (Intermittent Claudication)
4. ช่วยในอาการสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer)

ราคากระปุกละ 460 บาท (60 แคปซูล)


Co-Q10 MAXX โค-คิวเทน แมกซ์

โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าโค-คิวแทน (Co-Q10) เป็นสารที่พบในร่างกายตามธรรมชาติ ร่างกายต้องใช้โคเอนไซม์คิวเทนในการเจริญเติบโตของเซลล์ รวมถึงปกป้องเซลล์จากจากการถูกทำลายอันเป็นสาเหตุนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง 

สรุปคุณสมบัติของโคเอนไซม์ คิวเทน
- ลดความเสี่ยงในคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรือภาวะหัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่ง (Congestive Heart Failure) ทั้งนี้มีงานวิจัยสนับสนุนว่าการรับประทานโคเอนไซม์ คิวเทน 120 มิลลิกรัมต่อวัน ในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดจะช่วยลดอัตราการเป็นซ้ำ และลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ  และในปริมาณสูงยังประโยชน์ในการผ่าตัดหัวใจโดยทำให้หัวใจทนทานต่อการขาดเลือดและฟื้นตัวได้ดีขึ้น 
- มีบทบาทสำคัญในการทำลายสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย จึงช่วยป้องกันเรื่องหลอดเลือดหัวใจอันเกิดจากการที่แอลดีแอลโคเลสเตอรอล (LDL Cholesterol) ถูกออกชิไดซ์ (Oxidized) ด้วยอนุมูลอิสระ (อ้างอิงที่3) และสะสมในผนังหลอดเลือด ก่อให้เกิดการอักเสบและผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้นกลายเป็นพล๊าค (Plaque) หรือตะกอนในผนังเส้นเลือด เกาะที่ผนังหลอดเลือด ส่งผลทำให้หลอดเลือดแข็ง ไม่ยืดหยุ่นและตีบตัน นำมาซึ่งปัญหาเรื่องโรคหัวใจได้
- ช่วยลดระยะเวลาที่ปวดต่อครั้ง รวมถึงลดความถี่ในการปวดหัวไมเกรน (Migraine) ทั้งนี้มีงานวิจัยที่แสดงว่า การให้กลุ่มที่เข้ารับการทดสอบ 31 คน ได้รับโคเอนไซม์ คิวเทน ปริมาณ 150 มิลลิกรัมต่อวัน พบว่า 19 คน จาก 31 คน มีระยะเวลาที่ปวดไมเกรนในแต่ละครั้งลดลงมากกว่า 50% กล่าวคือระยะเวลาที่ปวดโดยเฉลี่ย 7.34 วันต่อเดือน ลดลงเหลือเฉลี่ย 2.95 วันต่อเดือน หลังจากได้รับโคเอนไซม์ คิวเทนเป็นระยะเวลา 3 เดือนและช่วยลดความถี่ในการปวดจากเดิมที่ความถี่ 4.85 เหลือ 2.81 โดยไม่มีผลข้างเคียง 
- โคเอนไซม์ คิวเทน ยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างพลังงานของร่างกายโดยจะช่วยในการเปลี่ยนอาหารที่เรารับประทานเข้าไปเป็นพลังงานไมโตรคอนเดรียที่อยู่ในเซลล์ร่างกาย ถือว่ามีบทบาทสำคัญในไมโตรคอนเดรียอันเป็นแหล่งผลิตพลังงานของเซลล์ (Key role in mitcohondrial bioener getics) จึงพบโคเอนไซม์ คิวเทนได้มากในอวัยวะใช้พลังงานในการทำงาน มากเช่น หัวใจ ปอด และตับ 
- อาจจะมีประโยชน์ในผู้ป่วยทาลัสซีเมียรุนแรง ชนิดเบต้า ทาลัสซีเมีย อี (Beta-thaiassemia/HbE) ซึ่งจะมีระดับโคเอนไซม์ คิวเทนในเลือดต่ำลงการให้โคเอนไซม์ คิวเทนทำให้ลดภาวะออกซิเดชั่นภายในเซลล์ และอาจทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น (อ้างอิงที่9)
- อาจจะมีประโยชน์ในโรคทางสมอง ได้แก่ โรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ (Dementia) โรคความจำเป็นเสื่อม (Alzheimer"s disease) และโรคปาร์กินสัน (Parkinson"s disease) (อ้างอิงที่ 10) โรคหอบหืด (Bronchialasthma)  โรคไตเสื่อมเรื้อรัง (Tubulopathy and Chronic tubulointersticial nephritis)  แม้ว่าการวิจัยสำหรับโรคปาร์กินสัน โรคหอบหืด และ โรคไต พบว่ายังไม่ได้ผลในการรักษา แต่โรคเหล่านี้มีกลไกจากความเสื่อมของเซลล์ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระมีบทบาท และพบว่าระดับโคเอนไซม์คิวเทนในเลือดต่ำลงในโรคเหล่านี้ด้วยอีกทั้งมีความปลอดภัยและมีประโยชน์จากการวิจัยในระดับเซลล์และในสัตว์ทดลอง ปัจจุบันมีงานวิจัยในคนที่มากขึ้นสำหรับโรคทางสมองเสื่อมอีกหลายชนิด
กล่าวโดยสรุป โคเอนไซม์ คิวเทนมีบทบาทสำคัญมากมายรวมถึงประโยชน์ต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะช่วยในเรื่องหัวใจการเป็น Antioxidant ที่ทำลายอนุมูลอิสระ เกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างพลังงานของเซลล์ รวมถึงช่วยในเรื่องการปวดหัวไมเกรน อาจจะมีประโยชน์ในผู้ป่วยทาลัลซีเมียรุนแรง ชนิดเบต้าทาลัสซีเมีย อี (Betathalassemia/HbE) และอาจมีประโยชน์ในโรคทางสมองได้แก่ โรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุโรคความจำเสื่อม และโรคปาร์กินสัน ดังกล่าวมาแล้วเบื้องต้น
เนื่องจากปริมาณของโคเอนไซม์ คิวเทนที่มีในร่างกายจะลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น การรับประทานโคเอนไซม์ คิวเทน จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการเสริมสุขภาพ
สรุปคุณสมบัติของทอรีน (Taurine)
ทอรีนเป็นกรดอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมทำเป็นอาหารเสริมในต่างประเทศ พบมากในสมอง ในหัวใจ ในจอตา และในกล้ามเนื้อ ในน้ำนมของมนุษย์มีส่วนในการเมตาบอลิซึมเซลล์ต่างๆ ทั้งเรื่องการคุมการทำงานของแคลเซียมในเซลล์ และการเผาผลาญน้ำตาล ช่วยในการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ปัจจุบันนิยมใช้ในเรื่องบำรุงหัวใจและบเาหวาน 
ทอรีนเป็นกรดอะมิโนที่มีบทบาทสำคัญในร่างกาย ทอรีนจะเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำดี ทั้งนี้มีรายงานวิจัยสนับสนุนว่าการเสริมทอรีนให้แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรือภาวะหัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่ง (Congestive Heart Failure) ให้ผลที่ดีและมีความปลอดภัย 
สรุปคุณสมบัติของแอล-คาร์นีทีน (L-Carnitine)
แอล-คาร์นิทีนเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นไก้เอง มีบทบาทในกระบวนการเผาผลาญ โดยเป็นตัวนำกรดไขมันเข้ามาสู่ไมโตคอนเดรียของเซลล์ มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่า แอล-คาร์นิทีนมีประโยชน์ในการช่วยรักษาโรคหัวใจขาดเลือด หรือภาวะทั้งหัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่ง (Congestive Heart Failure)
สรุปคุณสมบัติของชิตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ (Citrus Bioflavonoid)
ซิตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ ถือเป็นสารอาหารสำคัญจากพืชผักและผลไม้ที่เรียกว่า ไฟโตนิวเทรียนท์ (phytonutrients) ชนิดหนึ่ง จัดเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีงานวิจัยยืนยัน ยอมรับทั่วโลกในการต่อต้านการเป็นมะเร็งและการเป็นโรคหัวใจ
ราคากระปุกละ 495 บาท (30 แคปซูล)